วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

Tirpitz

เรือประจัญบานเทียร์พิตซ์ เป็นเรือรบชั้นบิสมาร์ค ของกองทัพเรือเยอรมันที่ต่อขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อของเรือนำมาจากชื่อของ อัลเฟรด วอน เทียร์พิตซ์ นายพลเรือของปรัสเซีย(ก่อนรวมชาติเปลี่ยนชื่อเป็นเยอรมัน) เรือถูกปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ปี 1936 และสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 1 เมษายน ปี 1939 ติดตั้งอาวุธปืนใหญ่เรือขนาด 15 นิ้ว เป็นเรือที่หนักที่สุดที่ต่อขึ้นโดยกองทัพในยุโรป เป็นเรือพี่น้องกันกับ เรือประจัญบานบิสมาร์ค
ในช่วงปี 1941 ภายหลังจากที่จบการฝึกฝนลูกเรือในทะเลแล้ว เรือเทียร์พิตซ์ ก็เข้าประจำการร่วมกับเรืออื่นๆในทะเลบอลติค เพื่อสกัดกั้นกองเรือบอลติคของสหภาพโซเวียต จนถึงช่วงกลางปี 1942 เรือเทียร์พิตซ์ได้ล่องไปยังนอร์เวย์เพื่อยับยั้งการบุกของกองทัพพันธมิตร จากนั้นก็ได้ประจำการอยู่ที่นอร์เวย์เพื่อสกัดกั้นกองเรือขนส่งสินค้าของพันธมิตรที่จะเดินทางไปยังสหภาพโซเวียต รวมถึงแสดงแสนญานุภาพข่มขวัญกองทัพเรืออังกฤษ ที่อยู่ในบริเวณนั้นด้วย กองทัพอังกฤษมีความพยายามที่จะทำลายเรือเทียร์พิตซ์หลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนในที่สุด วันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 1944 กองทัพอังกฤษ ได้เปิดยุทธการ แคททิซึ่ม โดยส่งฝูงบินทิ้งระเบิด แลงคัสเตอร์ ของกองทัพอากาศ จำนวนกว่า 30 ลำ ขนระเบิดทอลบอย 29 ลูก แต่ละลูกหนักกว่า 5 ตัน เพื่อไปทำลายเรือเทียร์พิตซ์ ระเบิดทอลบอย 2 ลูกโดนเรือเทียร์พิตซ์ทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงจากด้านใน ส่งผลให้เรือเทียร์พิตซ์พลิกหงายท้องและจมลงในที่สุด มีลูกเรือ971นาย จาก 1900 นาย เสียชีวิต
เทียร์พิตซ์ ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 1936 โดยบริษัทKriegsmarinewerft Wilhelmshaven ของเยอรมันนี จนสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1939 และได้นำไปใช้ปฏิบัติการเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1941 เช่นเดียวกับ บิสมาร์ก ซึ่งได้นำไปใช้ก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบเรือในช่วงต้นปี 1941 ก็ได้ไปร่วมกับกองเรือบอลติก ซึ่งได้เป็นเรือแม่ มีหน้าที่เฝ้าระวังกองเรือโซเวียตในทะเลบอลติก ในช่วงปี 1942 เรือเทียร์พิตซ์ ได้แล่นไปทางนอร์เวย์ เพื่อเข้าไปยับยั้งกองกำลังจากฝั่งพันธมิตร และการรุกรานของเหล่าพันธมิตร ขณะที่อยู่ในนอร์เวย์ ก็ได้เข้าถล่มกองเรือที่มุ่งไปโซเวียต
ในตอนนี้ เรือระดับตำนาน ชั้นบิสมาร์ก ที่มีอยู่ 2 ลำ ได้ถูกอังกฤษจมลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 1 ลำ คือเรือบิสมาร์ก นั่นเอง คงเหลือแต่เรือลำนี้ลำเดียวที่ยังคงเป็นความหวังให้กับเยอรมันอยู่
เทียร์พิตซ์ นับเป็นหนึ่งในเรือรบที่จัดทัพกลางทะเล จุดประสงค์หลักคือการต่อกรกับทัพเรืออังกฤษ เพื่อที่จะครอบครองพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ในทะเลให้กับเยอรมันนี ต่อมาในปี 1943 เทียร์พิตซ์และ เรือประจัญบาน ชาร์นโฮสต์ ( Scharnhorst ) ได้มีส่วนร่วมในการถล่มฝั่งพันธมิตรบนเกาะสฟาลบาร์ ของนอร์เวย์ เมื่อเทียร์พิตซ์ ได้ยิงกระสุนออกจากปืนใหญ่หลักออกไปได้เพียงหนึ่งลูก หลังจากนั้นไม่นาน เทียร์พิตซ์ ก็ถูกโจมตี โดยแผนของอังกฤษที่เรียกว่า Operation Source ด้วยวิธีการส่งเรือดำน้ำขนาดเล็ก ( Mini-submarines ) ที่มีคนขับเพียง 1-2 คน จำนวนหลายๆลำเข้าโจมตี ตามมาด้วยการโจมตีทางอากาศขนานใหญ่ แต่เรือก็สามารถรอดมาได้ จนซ่อมเสร็จพอใช้งานได้ ในช่วงเดือนเมษายน 1944
ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 1944 เครื่องบินแลนเชสเตอร์ของอังกฤษได้บรรทุกระเบิดทอลบอล (Tallboy) น้ำหนักกว่า 12,000 ปอนด์ (5,400 กก.) ทิ้งเข้าใส่เรือประจัญเทียร์พิตซ์ โดยโดนเป้าเต็มๆ ส่งผลให้เรือพลิกคว่ำอย่างรวดเร็ว (ดั่งภาพด้านล่าง) เพลิงกระจายไปยังฐานยิงปืนใหญ่หลัก ซึ่งเป็นที่บรรจุกระสุนปืนใหญ่ ส่งผลให้เกิดระเบิดขนาดใหญ่ตามมา มีการคำนวณผู้เสียชีวิต อยู่ระหว่าง 950 ถึง 1,250 นาย และภายหลังสงครามยุติลงเรือลำนี้ก็ได้รับการกู้ขึ้นมา โดยความร่วมมือของนอร์เวย์และเยอรมันนี

ความพยายามของอังกฤษที่หวังจะจมเรือประจัญบานเทียร์พิตซ์ นั้น หลายครั้งด้วยกัน ได้แก่ OperationSource, Tungsten Planet, Brawn, Tiger Claw, Mascot, Goodwood, Paravane, Obviate และสุดท้ายคือ Operation Catechism รวมแล้ว 9 ปฏิบัติการด้วยกัน นี่แหละคือพยายามของอังกฤษขนานแท้ ที่หวังจะจมมหาเรือแห่งไรซ์ที่ 3 ลำนี้ให้จงได้ และในที่สุดปฏิบัติการสุดท้ายของอังกฤษ นามว่า "Operation Catechism" นั้นก็ได้ทำให้โลกเห็นว่าอังกฤษก็สามารถล้มเรือประจัญบานลำแม่ลำสุดท้ายของเยอรมันลงได้ นี้คือการปิดฉากทั้งเรือประจัญบานที่ใหญ่ที่สุดลำหนึ่งเท่าที่เยอรมันเคยสร้างมาและเป็นการปิดฉากตระกูลเรือชั้นบิสมาร์ก ที่ได้เคยบันทึกในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ว่า เป็น 2 เรือที่ประจัญบานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งไรซ์ที่ 3 ตั้งแต่เคยมีมา.


ลักษณะจำเพาะ

ขนาด (ระวางขับน้ำ) : 42,900 ตัน
ความยาว : 241.6 เมตร
ความกว้าง : 36 เมตร
กินน้ำลึก : 9.3 เมตร
ความเร็วเต็มที่ : 30 น็อต (56 กม./ชม.)
บรรจุทหาร : 2,065 นาย


อาวุธประจำ เทียร์พิตซ์
ปืนใหญ่ขนาด 380 มม. (15 นิ้ว) ชนิด 2 กระบอก จำนวน 4 ป้อม
ปืนใหญ่ขนาด 150 มม. (5.9 นิ้ว) ชนิด 6 กระบอก จำนวน 2 ป้อม
ปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานขนาด 105 มม. (4.1 นิ้ว) 16 กระบอก
ปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานขนาด 37 มม. (1.5 นิ้ว) 16 กระบอก
ปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานขนาด 20 มม. (0.79 นิ้ว) 12 กระบอก






Musashi


เรือประจัญบานมุซาชิ ( 武蔵 ) เป็นเรือประจัญบานของกองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง และเป็นเรือธงแห่งกองเรือผสม ได้รับการตั้งชื่อตามจังหวัดมุซาชิซึ่งเป็นชื่อจังหวัดในสมัยโบราณของญี่ปุ่น เป็นเรือลำที่สองในชั้นยามาโตะต่อจากเรือประจัญบานยามาโตะ เป็นเรือที่หนักและติดอาวุธหนักที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างขึ้นมา ด้วยระวางขับน้ำเต็มที่ถึง 72,800 ตันและติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 460 มม.ถึง 9 กระบอก

เรือสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1938–1941 และขึ้นระวางอย่างเป็นทางการในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1942 มุซาชิทำหน้าที่เป็นเรือธงของพลเรือเอกอิโซรกคุ ยามาโมโต้และมินีชิ โคะงะ (Mineichi Koga) ในปี ค.ศ. 1943 ตลอดปี ค.ศ. 1943 มุซาชิจอดทอดสมออยู่ในฐานทัพเรือที่ทรูก คุเระ และบรูไน แห่งใดแห่งหนึ่งขึ้นอยู่กับการโจมตีทางอากาศของสหรัฐ มุซาชิอับปางเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1944 โดยเครื่องบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินในระหว่างยุทธนาวีอ่าวเลย์เต

รือได้ต่อขึ้นเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 1938 ที่อู่ต่อเรือมิตซูบิชิ ในจังหวัดนางาซากิ ต่อหลัง เรือประจัญบานยะมะโตะ ประมาณ 4 เดือน และสร้างเสร็จในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1940 และได้รับคำสั่งปฏิบัติการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 1942  มูซาชิ นอกจากจะติดอาวุธอานุภาพสูงเหมือน ยะมะโตะ แล้ว ยังประกอบด้วยเครื่องบินสะเทินน้ำ ประมาณ 6-7 ลำ เพื่อใช้ลาดตระเวณอีกด้วย

มูซาชิ กับ ยะมะโตะ
     คำว่า มูซาชิ มาจากชื่อ จังหวัดมูซาชิ ซึ่งเป็นจังหวัดโบราณของญี่ปุ่น ในปัจจุบันจังหวัดนี้ ประกอบด้วย โตเกียว จังหวัดไซตะมะ และ จังหวัดคะนะงะวะ 
     ในกลางปี 1942 มูซาชิ ได้รับแต่งตั้งเป็นเรือธง ประจำกองเรือผสม 
โดยมี พลเรือเอก อิโซะโระกุ ยะมะโมะโตะ  เป็นผู้บัญชาการเรือ ต่อจากนั้นในปี 1943 เรือได้ย้ายไปประจำการที่ทรูก ( Truk ) โดยระหว่างประจำการที่นั่น กองเรือมูซาชิ ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการหลบหลีกการตรวจจับของกองเรือสหรัฐก็ได้มีการปะทะกับทัพเรือสหรัฐ และฝ่าวงล้อมกันหลายครั้ง 
     หลังจากนั้น มูซาชิ ได้ถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในการถ่ายโอนกองกำลังทางทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ระหว่างญี่ปุ่นและตามหมู่เกาะต่างๆ ที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองมาได้ อยู่หลายครั้งในปี 1944
      มูซาชิซึ่ง ได้เข้าร่วมยุทธนาวีอ่าวเลย์เต ร่วมกับเรือประจัญบานยะมะโตะ ซึ่งถือว่าเป็นยุทธนาวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามทางทะเล ยุทธนาวีครั้งนี้ได้เริ่มขึ้นบริเวณทะเลฟิลิปินส์ ในวันที่ 23 -26 ตุลาคม 1944 ซึ่งในตอนนั้นเอง มูซาชิ เพิ่งได้รับการทาสีใหม่ จึงเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของฝั่งศัตรู ศึกครั้งนี้ ญี่ปุ่นครองกำลังเรือรบประมาณ 70 ลำ และเครื่องบินกว่า 300 ลำ ส่วนฝั่งพันธมิตร ( สหรัฐและออสเตรเลีย ) ถือว่าได้เปรียบกว่ามาก ด้วยเรือรบมากถึง 300 ลำและเครื่องบินอีกกว่า 1,500 ลำ 
มูซาชิ ขณะถูกเครื่องบินจากสหรัฐ ถล่มเข้าใส่
       ในเวลา 13.31 น. มูซาชิ ได้ตกเป็นเป้ายิงของ เครื่องบินรบ รวมถึงเรือดำน้ำ โดยเครื่องบินรบจำนวน 29 ลำ จากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส เอสเซ็กส์ และ ยูเอสเอส เล็กซิงตัน มูซาชิ ถูกตอปิโดร์ มากกว่า 4 ลูก ยิงเข้าใส่ตัวเรือ เป็นเหตุให้น้ำเริ่มท่วมเข้ามายังเรือ และความเร็วลดลงเหลือเพียง 20 น็อต 2 ชั่วโมงต่อมา มูซาชิ ก็ถูกเครื่องบิน เฮลไดเวอรส์ ( Helldivers ) จากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอสเอนเทอร์ไพรส์ ยิงตอร์ปิโดร์เข้าใส่ มากกว่า 3 ลูก จนเรือส่วนเสียความเร็วลง จนตอนนี้เหลือเพียง 13 น็อตแล้ว และในเวลา 15.32 น. เครื่องบินอีก 37 ลำ จากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส แฟรงคลิน และยูเอสเอส เคบ็อต ( Cabot ) จนมูซาชิ ถูกระเบิดซ้ำไปถึง 13 ลูก และตอร์ปิโดร์อีกกว่า 11 ลูก จนความเร็วตกไปเหลือที่ 6 น็อต สรุปแล้ว มูซาชิ ถูกตอร์ปิโดร์ไปทั้งหมด 19 ลูก และระเบิดอีก 17 ลูก สถานการณ์ตอนนี้ มูซาชิ เริ่มมีสัญญาณที่จะจมลงแล้ว
   ในเวลา 19.15 น. ลูกเรือทั้งหมดก็ได้เตรียมตัว ที่จะสละเรือ และเริ่มทยอยออกจากเรือไปในอีก 15 นาทีต่อมา ในเวลา 19.36 เรือมูซาชิ ก็ได้คว่ำลง และจมลงในเวลาต่อมา ที่ความลึก 1,350.3 เมตร โดย อิโนกูชิ ผู้บัญชาการเรืออีกคนของเรือ เลือกที่จะจมลงไปกับเรือ และลูกเรือจำนวน 1,376 นาย จากทั้งหมด 2,999 นาย ได้การช่วยเหลือ 
    ถึงแม้ เรือประจัญบานมูซาชิ จะยิ่งใหญ่ใกล้เคียง ยะมะโตะ ลำหนึ่ง แต่ก็นับว่า เป็นเรือที่หาภาพได้ยากมากที่สุด เพราะตอนสร้างนั้น ลับสุดยอด ภาพในอดีตของเรือจึงหาชมได้ยาก ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงได้ดีว่า เรือที่ยิ่งใหญ่ ก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานตัวใด มายืนยันได้มากกว่านี้เลยว่า เรือลำนี้เป็นอย่างไร นอกจากตัวลำเรือจริงๆ ที่อยู่ใต้มหาสมุทร ลงไปกว่า 1 กม. นั่นเอง.




อ้างอิง









USS Missouri


USS Missouri สถานที่จดสัญญาพ่ายแพ้สงครามของญี่ปุ่น


ยูเอสเอส มิสซูรี ( USS Missouri )  มีฉายาว่า บิ๊กโม (Big Mo) เป็นเรือรบชั้นไอโอวา (ชั้นเรือประเภท เรือรบเร็ว) เป็นเรือลำที่ 3 ที่ตั้งเป็นเกียรติให้กับรัฐมิสซูรีและเป็นเรือประจัญบานลำสุดท้ายของสหรัฐ 

 
ตราประจำเรือ
         มิสซูรี เริ่มต่อเรือในปี 1940 และประจำการในเดือนมิถุนายน 1944 ซึ่งนำไปใช้ในช่วงหลังของสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี ในยุทธการภาคพื้นแปซิฟิก ในยุทธการอิโวะจิมะและยุทธการโอะกินะวะ หลังจากนั้นเรือก็ได้ไปร่วมล้อม เกาะญี่ปุ่น อีกด้วย พอญี่ปุ่นพ่ายสงคราม จากการทิ้ง นิวเคลียร์ 2 ลูกในนางาซากิและฮิโรชิมา เรือลำนี้ก็เป็นที่เซ็นสัญญายอมจำนนของจักรวรรดิญี่ปุ่นอีกด้วย
        ในปี 1950 เรือ ยูเอสเอส มิสซูรี ได้นำไปใช้ในสงครามเกาหลี ซึ่งอยู่ในช่วงแรกของสงคราม มิสซูรียังได้รับเกียรติให้เป็นเรือธงและใช้รบจนสงครามเกาหลียุติ ในปี 1953 
          ในปี 1955 เรือปลดประจำการเนื่องจากใช้มาในสงครามมาหลายครั้ง และ มีเรือรุ่นใหม่ที่ทันสมัยกว่านี้รออยู่ เรือลำนี้จึงตกไปเป็นเรือสำรองในกองทัพเรือสหรัฐแทน
           ปี 1984 มิสซูรีได้เริ่มนำไปใช้อีกรอบ โดยการปรับปรุงเรือ เพิ่มปืนใหญ่และแท่นยิงให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น มิสซูรีได้เข้าไปอยู่ในส่วนหนึ่งของแผนการกองเรือ 600 ที่กองทัพเรือสหรัฐนำไปปิดอ่าวเปอร์เซีย  ในยุทธการ "ปฏิบัติการพายุทะเลทราย" ในปี ค.ศ. 1991 


ลักษณะจำเพาะ
ขนาด (ระวางขับน้ำ) : 45,000 ตัน
ความยาว : 270.4 เมตร
ความกว้าง : 33 เมตร
กินน้ำลึก : 8.8 เมตร
ความเร็วเต็มที่ : 33 น็อต (61.2 กม./ชม.)
บรรจุทหาร : 2,700 นาย (ปี 1,943) และ 1851 นาย(ปี 1,984)


บลูปริ้น มิสซูรี


อาวุธประจำ ยูเอสเอส มิสซูรี (ปี 1984)
ปืนใหญ่ขนาด 405 มม. 9 กระบอก
ปืนใหญ่ขนาด 127 มม. 12 กระบอก
แท่นยิงโทมาฮอว์ก 32 กระบอก
แท่นยิงจรวดฮาร์พูน 16 กระบอก
แท่งยิงฟาลังซ์ (Phalanx CIWS) 4 กระบอก


อ้างอิง 












วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

USS Lowa ( BB-61 )


ภาพอันแสนโด่งดังของไอโอว่า 
เป็นภาพขณะกำลังยิงปืนใหญ่ขนาด 
16นิ้ว/50 แคล ในเดือนสิงหาคม 1984

ยูเอสเอส ไอโอวา (BB-61) เป็นเรือประจัญบานลำแรกในชั้นไอโอวาของสหรัฐอเมริกา ตั้งชื่อตามรัฐไอโอวา เนื่องจากการยกเลิกการสร้างเรือชั้นมอนแทนาดังนั้นเรือชั้นไอโอวาจึงเป็นเรือประจัญบาญรุ่นสุดท้ายและนับว่าเป็นเรือประจัญบาญที่ใหญ่ที่สุดที่สร้างโดยสหรัฐอเมริกา โดยเรือ ไอโอวา เป็นเรือลำเดียวในชั้นเดียวกันที่ได้เข้าปฏิบัติการในมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปี 1943 ไอโอวา ถูกเลือกเป็นเรือสำหรับประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปประชุมกับนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลแห่งราชอาณาจักรและโจเซฟ สตาลินผู้นำโซเวียต ณ เมืองเตหะราน ดังนั้นเรือประจัญบานลำนี้จึงมีเครื่องอำนวยความสะดวก เช่น อ่างอาบน้ำสำหรับประธานาธิบดีและลิฟต์สำหรับขึ้นลงดาดฟ้าเรือ ในปี 1944 เรือลำนี้ถูกส่งไปประจำการที่กองทัพเรือฝั่งแปซิฟิก และได้ทำการยิงปูพรมที่บริเวณชายหาดของเกาะ Kwajalein และ Eniwetok เพื่อเปิดทางให้เรือสะเทินน้ำสะเทินบกขึ้นฝั่งได้สะดวก และยังทำหน้าที่เฝ้าระวังเรือบรรทุกเครื่องบินในบริเวณหมู่เกาะมาร์แชลล์อีกด้วย
ระหว่างสงครามเกาหลี ไอโอวา มีส่วนร่วมในการโจมตีโฉบฉวยบริเวณชายฝั่งเกาหลีเหนือ ภายหลัง ไอโอวา ถูกปลดประจำการไปอยู่ในกองทัพเรือสำรองสหรัฐ หรือ "mothball fleet" และได้เข้าประจำการอีกครั้งในปี 1984 ในแผน 600-ship Navy โดยประจำการทั้งกองทัพแอตแลนติกและกองทัพฝั่งแปซิฟิกเพื่อตอบโต้กับกองทัพเรือโซเวียต ในปี 1989 เกิดการระเบิดที่ไม่ทราบสาเหตุที่บริเวณปืนหลักหมายเลข 2 ทำให้สูญเสียทหารเรือ 47 นาย
ไอโอวา ถูกปลดประจำการครั้งสุดท้ายในปี 1990 และถูกนำมาใช้งานภายใต้โครงการของรัฐบาลที่ต้องการทำนุบำรุงเรือประจัญบานชั้นไอโอวาไว้สองลำ ในช่วงปี 1999 ถึง 2006 ท้ายสุดในปี 2011 ไอโอวา ถูกบริจาคให้กับ ศูนย์รวมเรือประจัญบานแปซิฟิกไม่แสวงหาผลกำไรประจำลอสแอนเจเลส และถูกย้ายไปจอดอย่างถาวรที่ Berth 87 ณ ท่าเรือลอสแอนเจเลส ในปี 2012 เพื่อเปิดให้บริการเป็นพิพิธภัณฑ์เรือประจัญบานต่อไป

uss iowa นั้นถูกวางโครงแบบในช่วงปี 1938 โดยสำนักงานออกแบบ Bureau of Construction and Repair ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งของกองทัพเรือสหรัฐ ที่ทำหน้ารับผิดชอบในส่วนของการออกแบบเรือ ก่อสร้าง จัดซื้อ ดัดแปลง และซ่อมแซมเรือต่างๆในกองทัพเรือสหรัฐ ตัวเรือนั้นเป็นเรือประจัญบานในชั้น iowa class battleship และยังเป็นเรือประจัญบานลำแรกที่ถูกต่อในชั้นนี้ ตัวเรือถูกปล่อยลงในน้ำในวันที่ 27 สิงหาคม 1942 และเข้าประจำการอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1943 ตัวเรือนั้นถือว่าเป็นเรือประจัญบานที่ใหญ่โตและสง่างามที่สุดเท่าที่กองทัพสหรัฐเคยสร้างมาในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นระวางขับน้ำถึง 45000 ตัน พร้อมกับความทรงพลังของมันไม่ว่าจะเป็น ปืนใหญ่เรือขนาด 16 นิ้ว 3 ลำกล้อง 50 คาลิเบอร์ แบบ mark 7 ที่มีระยะยิงถึง 37 กิโลเมตร และปืนใหญ่รองขนาด 5 นิ้ว 38 คาลิเบอร์ ลำกล้องคู่ ระยะยิง 22 กิโลเมตร ทำให้มันคือเรือที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่กองทัพเรือสหรัฐเคยมีมา เนื่องด้วยสมรภูมิในแปซิฟิกนั้นเรือบรรทุกเครื่องบินได้กลายเป็นเรือรบหลักในการดำเนินกลยุทธ์ของทั้งฝ่ายตนเองและฝ่ายศัตรู มันทีความอเนคประสงค์ที่เหนือกว่าเรือทุกแบบของกองเรือสหรัฐ นั่นเองทำให้สมรภูมิที่แปซิฟิกนั้นเต็มไปด้วยเครื่องบินฝ่ายศัตรูที่พร้อมจะบินมาทำลายเรือบรรทุกเครื่องบินของในกองเรือของฝ่ายตนเองและเรือลำอื่นๆในกองเรือ ด้วยความที่เรือบรรทุกเครื่องบินนั้นเป็นเสหมือนแกนกลางหลักในกองเรือของตนเองทำให้มันต้องมีความสามารถในการป้องกันภัยทางอากาศให้แก่เรือบรรทุกเครื่องบินและเรือลำอื่นๆในกองเรือของตนเอง ทำให้ตัวเรือได้ทำการติดตั้งปืนต่อต้านอากาศแบบ bofors ขนาด 40 มิลลิเมตร 4 ลำกล้อง และปืนต่อต้านอากาศแบบ oerlikon ขนาด 20 มิลลิเมตร เข้าไปเพิ่มเติมอีก
 ในเดือนมีนาคม ปี 1945 ไอโอว่า ได้ล่องเรือมาที่โอคินาว่า เพื่ิอไปสนับสนุนการรบ โดยมีวัตถุประสงค์  เพื่อต้องการสร้างทัพที่เหนือกว่าทั้งทางน้ำและทางอากาศ และต้องการนำทัพปิดเกาะญี่ปุ่น อีกด้วย
            หลังจากที่ ญี่ปุ่น ได้พ่ายแพ้ไป เรือ ไอโอว่า ก็กลับไปที่เมือง ซีแอตเทิล , วอชิงตัน ต่อจากนั้น เรือก็เดินทางไป ลองบี เพื่อไปเป็นเรือฝึกของทหารเรือ ก่อนที่จะกลับไปคุมญี่ปุ่น ในปี 1946
            ช่วงสงครามเกาหลี ในเดือน มีนาคม ปี 1952 เรือไอโอว่า ได้เดินทางมาถึงน่านน้ำเกาหลีเหนือ หลังจากนั้นก็เป็นเรือแม่ในการยิงโจมตี ที่เมือง วอนซาน-ส่งจิน ซึ่งเส้นทางการขนส่ง อาวุธและกองกำลังสนับสนุนของเกาหลีเหนือ

ห้องน้ำในเรือ ไอโอว่า




อ้างอิง



วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2560

Bismarck


การจัดสร้างและลักษณะเรือ

เรือบิสมาร์คถูกสั่งสร้างภายใต้ชื่อ แอร์ซัทซ์ ฮานโนเฟอร์ (Ersatz Hannover) ภายใต้ข้อตกลง "เอฟ" เพื่อทดแทนเรือปืน เอสเอ็มเอส ฮันโนเฟอร์ (SMS Hannover) ที่จัดสร้างขึ้นก่อนเรือรบเดรดนอต ในข้อตกลงได้มอบหมายให้อู่ต่อเรือโบลมและฟอสส์ (Blohm & Voss) ในเมืองฮัมบูร์กเป็นผู้จัดสร้าง มีการวางกระดูกงูในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1936 ที่ Helgen IX เรือปล่อยลงน้ำในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ระหว่างพิธีการ โดโรเท วอน เลอเวนเฟลด (Dorothee von Löwenfeld) หลานสาวนายกรัฐมนตรีออทโท ฟอน บิสมาร์คเป็นผู้ทำพิธีตั้งเรือและปล่อยเรือลงน้ำ และมีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธี งานปรับปรุงและติดตั้งอุปกรณ์ได้ดำเนินงานหลังการปล่อยเรือลงน้ำ ในเวลานั้น หัวเรือเดิมแบบมุมตรงได้ถูกแทนที่ด้วยหัวเรือเอียงลาดแบบแอตแลนติก (Atlantic bow) ซึ่งคล้ายกับเรือประจัญบานชั้นชันฮอร์ซท (Scharnhorst) บิสมาร์คเข้าประจำการในกองเรือวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1940 ขณะทำการแล่นเรือทดสอบ มีหน้าที่ควบคุมทะเลบอลติก โดยมีนาวาเอก (Kapitän zur See) แอร์นซท ลินเดมัน (Ernst Lindemann) เป็นผู้บังคับการเรือในขณะเรือเข้าประจำการ

ยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก

ในวันที่ 24 พฤษภาคม 1941 เรือทั้ง 2 ลำ ถูกฝั่งอังกฤษตรวจจับได้ ขณะอยู่ในบริเวณสแกนดิเนเวียทำให้อังฤกษส่งเรือรบเรือประจัญบานลำใหม่ เอชเอ็มเอส ปรินส์ออฟเวลส์ เรือลาดตระเวนประจัญบานลำเก่า ฮู้ดออกไปดักโจมตีที่ช่องแคบเดนมาร์ก เวลาประมาณ 05:30 น. ของวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม กองเรือเยอรมันได้เดินทางมาถึงช่องแคบเดนมาร์ก ไฮโดรโฟนของพรินซ์ออยเกนตรวจพบเรือสองลำทางกราบซ้าย แต่โชคยังเป็นของอังกฤษ เมื่อผู้บังคับการเรือปรินส์ออฟเวลส์ได้สังเกตเห็นถึงความผิดพลาดและทำการเปลี่ยนเป้าหมาย ฮอลแลนด์ได้รับคำสั่งแก้ไขเป้าหมายแต่คำสั่งนั้นกลับไปไม่ถึงพลปืนของฮู้ดก่อนที่จะได้ยิงตับแรกออกไป ฮู้ดได้ยิงกระสุนนัดแรกในยุทธนาวีเมื่อเวลา 05.52 น.ในเวลารุ่งอรุณ และตามติดด้วยพรินซ์ออฟเวลส์ ระยะห่างจากเรือฝ่ายเยอรมันในตอนนั้นประมาณ 12.5 ไมล์ (20.1 กม.) การยิงตับแรกของฮู้ด กระสุนตกใกล้กับพรินซ์ออยเกน ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยใกล้กับป้อมปืนท้าย
นานกว่า 2 นาทีที่ไม่มีการยิงตอบโต้จากกองเรือเยอรมัน ก่อนที่ผู้บังคับการเรือ ลินเดอมันน์ (Lindemann) จะสั่งให้ยิงตอบโต้ไปยังเรือธงของอังกฤษ ซึ่งก็คือเรือฮู้ดโดยเยอรมันสามารถระบุบได้เมื่อกองเรือรบอังกฤษได้ทำการเปลี่ยนทิศทางไปยังเรือฮู้ดเมื่อเวลา 05.55 น. กลยุทธ์นี้จะใช้เมื่อเรือพยายามจัดวางตำแหน่งของตนเองให้อยู่ในโซนคุ้มกัน เมื่ออยู่ในโซนดังกล่าวแล้วเรือจะสามารถยิงมุมสูงได้ (ยิงทำลายดาดฟ้าเรือ) และการยิงตรงของเรือศัตรูจะไม่ค่อยได้ผล แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ฮู้ดก็ยังคงมีจุดอ่อนเล็กน้อยและการควบคุมการยิงของเยอรมันยังเหนือกว่านิดหน่อย นอกจากนี้ยังมีข้อเสียคือ ในระหว่างการแล่นเรือปืนใหญ่ 8 กระบอกจาก 18 กระบอกไม่สามารถยิงสนับสนุนได้


การอับปาง

การอับปางของเรือลำนี้เกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการไรนือบุง นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิลล์ ออกคำสั่ง "จมเรือบิสมาร์ค" ซึ่งกระตุ้นให้กองทัพเรืออังกฤษติดตามเรือบิสมาร์คไปอย่างไม่ลดละ และในระหว่างที่เรือกำลังกลับจากปฏิบัติการนี้ เวลา 09:02 am เครื่องบินรบอังกฤษได้ระดมยิงตอร์ปิโดจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่เรือเสียชีวิตกันมากมาย และหางเสือเรือทรงตัวไม่ได้ และเรือรบ 4 ลำของอังกฤษ ได้ยิงปืนใหญ่ถล่มเรือ Bismarck จนเรือเสียหายอย่างรุนแรง และในที่สุดเวลา 10:20 am เรือก็อับปางลง พร้อมชีวิตของเจ้าหน้าที่เรือ 2,200 ชีวิต มีเพียง 114 ชีวิตเท่านั้นที่รอดมาได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ bismarck ประวัติ



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ bismarck ประวัติ






อ้างอิง